วันอาทิตย์ที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ประวัติดนตรีอเมริกัน(ตอนที่5)


กล่าวถึงเพลงคันทรี่และโฟล์ค ...

ถ้าพูดถึงดนตรีคันทรี่แล้ว คำว่า "Country" (มีความหมายว่าชนบท) มันก็ช่างให้ความรู้สึกห่างไกลความเจริญยังไงอย่างงั้น แต่ก็ใช่ว่าดนตรีคันทรี่จะหาฟังได้ยากเหมือนชื่ิอซะหน่อย เพราะเพลงป็อบสากลในปัจจุบันก็มีกลิ่นอายของคันทรี่ผสมอยู่ด้วย
และเพลงป็อบดังๆที่วัยรุ่นอเมริกันนิยมฟังในทุกวันนี้ ก็มีแนวดนตรีย่อยเป็น ป็อปคันทรี่ด้วยแหละ อย่าง เพลงของ เทย์เลอร์ สวิฟต์ ไงล่ะคะ...บรรดาแฟนคลับจึงเรียกเธอว่าเจ้าหญิงแห่งป็อบคันทรี่เพราะมันคือแนวเพลงของเธอ...

แต่ถ้าจะให้ว่ากันไปตามเรื่องของคันทรี่ มันก็คือดนตรีของชาวบ้านที่อยู่หลังเขา หรือชาวชนบทตามชื่อเรียก"country" นั่นเอง….แต่ว่า ก่อนที่จะมาเป็นคำว่า country ได้เนี่ย เขาได้เรียกกันมาก่อนแล้วว่า Hillbilly music ค่ะ....
เพลงคันทรี่ส่วนใหญ่จะเป็นเพลงเศร้า เพลงอกหัก จุดศูนย์กลางเพลงแนวนี้อยู่ที่ Nashville,Tennessee มีวิทยุของ Nashville เปิดเพลงคันทรี่ด้วย นักร้องคันทรีดังๆ มี Willie Nelson
แต่ก็ใช่ว่าเพลงคันทรี่จะเป็นเพลงของชาวชนบทที่ทำงานเป็นชาวนาชาวไร่เท่านั้น เพราะว่ายังมีชาวชนบทอีกมาก ที่ทำงานตามโรงงาน เหมือง ก็ฟังเพลงแนวนี้ ซึ่งอาจกล่าวได้ว่า เพลงคันทรี่ก็เป็นเพลงของคนทำงานเช่นกัน
พอ 1930 เกิดปัญหาเศรษฐกิจในเมกา คนทำงานก็ได้ใส่อารมณ์ความยากลำบากจากการทำงานเข้าไปในเพลง ทำให้ได้แนวดนตรีแบบ Folk music ออกมา ซึ่ง โฟล์ก ก็เหมือนคันทรี่แหละ แต่ว่ามันจะออกพื้นเมืองกว่า ดนตรี จะหนักกว่าด้วยย และเนื้อหาของเพลงโฟล์กจะไม่ใช่แค่กล่าวถึงความรักเสมอไป เนื้อหาของเพลงแนวโฟล์กยังเล่าเรื่องทั่วๆไปในชีวิตด้วย
Woodie Guthrie คนเขียนเพลงโฟล์กซอง คนนึงที่ชอบเขียนเนื้อหาเกี่ยวกับชีวิตคนจน


1950 Folk music ก็กลับมาป๊อบอีกครั้ง ตอนนั้นคิงมาร์ติน ลูเทอร์ต้องการปรับปรุงความเป็นอยู่ของคนอเมริกันผิวดำ ก็มีการใช้เพลงมาปลุกระดมเกี่ยวกับกฎหมายบ้านเมืองด้วยมั้ง จะมีเพลง We Shall Overcome ที่ Pete Seeger เขียนขึ้น เนื้อเพลงเกี่ยวกับปัญกาในอเมริกาช่วง 1950

ช่วง 1960 นักร้องเพลงโฟล์กอย่าง Bob Dylan, Joan Baez เขียนเพลงต่อต้านสงครามกัน เพลงที่เขียนในช่วงนี้มักจะเขียนขึ้นเพื่อสะท้อนปัญหาสังคมของชาวอเมริกัน
พอสงครามและปัญหาเศรษฐกิจหมดไป มะกันก็กลับมารวยอีกครั้ง ส่งผลให้ดนตรีมีการพัฒนามากขึ้น พวกกลุ่มวัยรุ่นมะกันจะทำดนตรีใหม่ๆขึ้นมา อีกทั้งยังนิยมแต่งตัว ทำผมกันในสไตล์ใหม่ๆ มีท่าเต้นใหม่ๆด้วย
ช่วงแรกของ ศต.50 เพลงโรแมนติกช้าๆยังคงเป็นที่นิยมอยู่ แต่พวกวัยรุ่นนี่สิ ต้องการเต้นไปกับดนตรีด้วย มันเลยมีการใส่จังหวะเข้าไป ช่วงนั้นจึงเริ่มมีการฟังเพลง R&B (Rhythm and Blues) กัน ตามสถานีวิทยุของชาวผิวดำก็จะชอบปฺดเพลงแนวนี้
ต่อมาก็มีคนหันมาเล่นแนวนี้กันมากขึ้น มัน pop มากขึ้น จนพวกสถานีอื่นๆก็เปิด R&B ให้วัยรุ่นชาวผิวขาวฟังกัน
Alan Freed คือชาวผิวขาวคนแรกที่เรียกดนตรีแบบนี้ว่า rock and roll
Bill Haley and the comets คือชาวผิวขาวกลุ่มแรกที่บันทึกเสียง rock and roll ด้วยเพลง Rock around the clock
ต่อมา Rock and roll มีจังหวะที่แข็งแรงขึ้น เหมาะกับการเต้นมากขึ้น และมีการเล่น Rock and roll ด้วยกีต้าร์ไฟฟ้า ทำให้ได้เสียงที่ดัง และเร็ว ตรงนี้แหละที่ทำให้ Rock and roll กลายเป็นดนตรีที่ชาวอเมริกันชอบมาก
Elvis Presley ราชาเพลง rock and roll เขาคือชาวผิวขาวที่มีเสียงร้องแบบผิวดำ ตามแบบฉบับที่ Sam Phillips ต้องการหามาเป็นศิลปินในบริษัทของเขา


ต่อมาปี 1959 มีนักร้อง rock and roll ชื่อดัง 3 คนเครื่องบินตกตาย ทำให้หลายคนคิดว่ามันหมดสมัยของดนตรี rock and roll แล้ว แต่ที่จริงแล้ว rock and roll ยังคงสดใสฟู่ฟ่าอยู่ ดังที่เราเห็นว่า Rock และ pop ในช่วง 1960-1990 เติบโตมาจาก rock and roll แบบเก่า ซึ่งเรายังสามารถพูดได้ว่า rock และ pop ที่ฮิตกันอยู่ทุกวันก็คือ Rock n Roll นั่นเอง
ต่อมาก็มี Rock แบบเบาๆ เข้ามา pop กันอีก อย่าง Surf rock… Rejanecy* ขอแนะนำเพลง fun fun fun, California Girl เป็นเพลงที่ฟังแล้วชวนฝันถึงการมีชีวิตที่ดีในเมืองCalifornia
San Francisco เป็นศูนย์กลางเพลง Rock ในช่วงปลาย 1960 ช่วงนี้มีสงครามเวียดนาม มีนักเรียนประท้วง มีบุปผาชน มียาบ้า
มีชาว Hippies เกิดขึ้นเป็นกลุ่มพวกที่ชอบใส่เสื้อผ้าหลากสี ไว้ผมยาว ชอบฟังเพลง rock และ folk rock


ปัญหายาเสพติดเป็นปัญหาใหญ่ในยุคนี้ การตายของศิลปินดังอย่าง Janis Joplin, Jim Morrison, Jimi Hendrix ก็เกี่ยวข้องกับการใช้ยา

ไม่ใช่ว่าจะมีชาว Rock ที่มาจากอเมริกา หรือ California เท่านั้น ยังมีศิลปินชาวrock จาก อังกฤษด้วย อย่าง The beatles ไง
ทั้งหมดนี้ก็กล่าวได้ว่า ยุค 60s เป็นยุคของRock ในอเมริกา
เพลงป๊อบของชาวผิวดำมีจังหวะที่หนักขึ้น และเหมาะกับการเต้นมากขึ้น จนกลายเป็นดนตรีที่เรียกว่า Rhythm and Blues—แต่ในช่วง 1960 เรียกว่าSoul


กล่าวถึงที่มาของ SOUL DISCO RAP
หลังจากสงครมโลกครัง้ที่สองหมดไป ประชากรมากมายก็ย้ายจากอเมริกาใต้มาอยู่ นิวยอร์ก Detroit Philadelphia ชาวผิวดำอยู่ใน Harlem,New York นักดนตรีจะชอบร้องเพลงเกี่ยวกับชีวิตในเมืองใหญ่
ใน Detroit มีนักดนตรีผิวดำชื่อ Berry Gordy เริ่มทำบริษัทบันทึกเสียงของคนผิวดำ ชื่อเรียกว่า Motown
--motor town,เป็นชื่อนึงของเมือง Detroit นักดนตรีดังๆ อย่าง The Supremes, The Temptations ,The Jackson Five ก็บันทึกเสียงที่บริษัทนี้--
ส่วน Soul มันก็คือดนตรีแด๊นซ์ดีๆนั่นเอง แต่พอ 1970 เพลง dance ก็เป็นที่นิยมมากขึ้น และกลายเป็นที่มาของ Disco ซึ่ง Disco ก็คือ Soul ประเภทหนึ่ง แต่ว่ามักจะใช้จังหวะแบบ latin หรือ salsa
พอ 1980 พวกนักดนตรีผิวดำก็กลายเป็นซุปตาร์ อย่าง Prince, Michael Jackson ,Whitney Houston
ส่วน Rap ก็พัฒนามาจากการร้อง(ด้วยการพูดธรรมดาไวๆ) + ดนตรีจังหวะหนัก
เริ่มจากกลุ่มวัยรุ่นผิวดำในเมืองใหญ่ก่อน….เป็นที่นิยมมากในช่วง 1980s


ดนตรีละตินอเมริกัน


หลังจากสงครามโลก2 วกที่พูดภาษาสเปนได้ย้ายเข้ามาในเมกา จากเกาะ Puertoricoและคิวบา มาตั้งรกรากในเมืองฟลอริดา พวกเขานำดนตรี ละตินอเมริกันมาด้วยพร้อมกับเครื่องดนตรีของพวกเขาที่มีชื่อเรียกว่า Salsa (sauce in English) เหมือน chili sauce ในทางดนตรีจะหมายถึง hot หรือจังหวะที่เร่าร้อน (มันเป็นดนตรีสเปนผสมกับจังหวะและกลองของแอฟริกัน)

นักดนตรี pop ดังๆ มักจะมีเชื้อสายเป็นพวกMexican หรือ ละติน อย่าง Richie Valens ,Carlos Santana—พวกเขาต่างก็นำดนตรีละตินอเมริกันมาเล่นในเพลงของพวกเขา นักดนตรี Jazz ที่ใช้เครื่องดนตรีและจังหวะแบบละตินอเมริกันก็มีMiles Davis,Chick Corea

ในช่วงปี ค.ศ.1970 แม้ว่าดนตรีที่ชาวมะกันชอบเต้นกัน จะเป็น Disco แต่พวกวัยรุ่นก็เบื่อเป็นเหมือนกันนะพวกวัยรุ่นก็เลยทำดนตรี rock แบบใหม่ ที่ยังคงรูปแบบเดิม ง่ายๆ แต่เสียงดัง ให้จังหวะที่หนักและแรงกว่าเดิมอย่าง Punk ออกมา และ Punk นี่แหละ คือดนตรียอดฮิตในช่วงนั้น
ช่วง 1970-1980 ก็มี walkman เข้ามาการฟังเพลง ฟังดนตรีก็สะดวกขึ้น
1981 มี MTV เป็นช่องที่เปิด music video เพลงทุก 24 ชม. MTV ฮิตมาก เป็นเหตุให้การทำดนตรีต้องมาพร้อมกับการทำ music video นั่นเอง
ต่อมาเพลงRock ก็พัฒนาเรื่อยๆ แล้วก็มีวง metal อย่างที่รู้จักกัน==วงดนตรีเสียงดัง คนเล่นไว้ผมยาว(แต่มื่อก่อน metalยังไม่ได้เล่นด้วยเครื่องดนตรีไฟฟ้า
--ช่วงนี้มีนักร้องดังๆอย่าง Tracy Chapman
ยุค 80s ก็ยังเหมือนยุค 60s ทำดนตรีเพื่อสังคม ออกคอนเสิร์ต เล่นดนตรี ช่วยเหลือสังคม ทำให้คนรักกันด้วยเสียงดนตรี


Life was hard but music and dancing made it a little easier
-THANK YOU-


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น