ดนตรีส่วนใหญ่ของอเมริกามาจากยุโรปก็จริง ทั้งนี้ก็เพราะคนอเมริกันยังไม่สามารถเขียนดนตรีมาได้มากนัก แต่ในปี ค.ศ.1840 ก็มีชาวอเมริกันผิวชาวได้ทำดนตรียุคใหม่ขึ้นมา โดยพัฒนาจาก…ดนตรีของคนผิวดำ พวกเขาเอามันมาเล่นเป็นวาไรตี้โชว์และเรียกมันว่า “minstrel shows” : เป็นการแสดงตลกโดยคนผิวขาว ในการแสดง minstrel นี้พวกเขาจะแต่งตัว ทาหน้าดำให้เหมือนกับคนผิวดำ
ต่อมาคนผิวดำตัวจริงก็ได้จัดการแสดงบ้าง ทำให้ minstrel show ได้แพร่ระบาดไปทั่วเมืองต่างๆของอเมริกา และมันก็ยังคงความนิยมอยู่ถึงช่วง 1930s
นักแต่งเพลงชาวผิวขาวผู้ซึ่งเขียนเพลง minstrel ก็พยายามเขียนเนื้อหาเพื่อให้แนวคิดในการดำรงชีวิตแก่ชาวอเมริกาใต้ เพลง minstrel ที่นิยมในช่วงนั้นเห็นจะเป็น เพลง Oh Susannah และ Old Black Joe ของ Stephen Foster ซึ่งขาวอเมริกันก็ยังคงร้องเพลงของเขาจนถึงทุกวันนี้ แต่ก็อย่างว่า …Foster ก็อาภัพตามแบบฉบับศิลปินรุ่นเก่าหลายๆคน อนิจจา ….โลกต้องปล่อยให้เขาตายจากก่อน…คุณค่าของเขาจึงปรากฏ …..
ในเมืองใหญ่ๆ วาไร้ตี้โชว์ใหญ่ๆก็มักจะโชว์ minstrel ที่มีทั้งการแสดงเต้นกันวงใหญ่ๆ การแสดงตลก และอะไรที่แปลกๆ โชว์พี่บิ้กแบบนี้มีชื่อเรียกภาษาฝรั่งเศสว่า Vaudeville –พอ ค.ศ. 1900 ก็มี vaudeville house มากมายเลย…
พอการแสดงภาพยนตร์เข้ามาเป็นที่นิยม Vaudeville ก็หมดสมัยไป แต่ปี 1927 การแสดงหนังก็ได้เพิ่มการบันทึกเสียงเข้าไปด้วย (จากตอนแรกเป็นหนังที่ไม่มีการบันทึกเสียง สื่ออารมณ์ ท่าทาง ไม่มีบทพูด) หนังที่บันทึกเสียงผู้แสดงลงไปด้วยเรื่องแรก เรียกว่า The Jazz Singer –Al Jolson ทำหน้าที่ร้องและแสดงเรื่องนี้ได้ดีมาก
วาไร้ตี้โชว์เหล่านี้ได้ทำให้ดนตรีป๊อบเกิดขึ้นมาในอเมริกา และด้วยความยิ่งใหญ่ของการแสดงต่างๆ ของมัน …ไม่ว่าจะเป็น การเต้น การร้องเพลง ..สีสัน …ทำให้เกิดเป็นแนวทางไปสู่ความเป็น ละครบอร์ดเวย์และฮอลลีวู้ดนั่นเอง
ปลาย ค.ศ. 1800 อเมริการวยมาก ทุกๆคนต่างมีความสุข และก็จะมีเปียโนเป็นสัญลักษณ์แห่งความสำเร็จ โดยทั่วไปแล้ว แต่ละบ้านก็จะมีเปียโนไว้ให้สุภาพสตรีเล่น เพลงโปรดของพวกเธอมักจะเป็นเพลงโบสถ์ เพลงเศร้า เพลงช้าๆ สไตล์ Ballad ในยุคนั้นมีการพิมพ์โน้ตดนตรีออกมาขายแพร่หลายมาก และเพลงแรกที่ขายได้เป็นล้านก๊อปปี้เลยคือเพลง After the ball โดย Charles K.Harris
ช่วงเวลานี้นักดนตรีผิวดำเริ่มหันมาเล่นเปียโนแนวใหม่ ก็คือแนว แรกไทม์ –เป็นจังหวะใหม่ ที่ทำให้คนฟังหัวเราะ และเต้นได้…คนแต่งแรกไทม์ที่เจ๋งๆในยุคนั้นคือ Scott Joplin เจ้าของผลงานเพลง The Entertainer
เพลงมารช์ (Marching Music) ในอเมริกาก็มาจากยุโรปค่ะ ในปี 1880s John Philip Sousa ชาวโปรตุเกส-อเมริกัน หัวหน้าวงมาร์ช ได้เขียนเพลงมารช์ขึ้นด้วย --เขาเป็นหัวหน้าวง U.S. Marine band –เพลงที่มีชื่อเสียงคือ The Star and Stripes Forever
ทุกๆวันนี้โรงเรียนแต่ละโรงต่างก็มีเพลงมาร์ชเป็นของตัวเอง พวกคนเล่นวงมาร์ชในโรงเรียนอเมริกาก็จะใส่ชุดยูนิฟอร์มเล่นดนตรี เดินขบวนกันตามโอกาสต่างๆ ---ชาวอเมริกันต่างรักการเดินขบวนและเพลงมาร์ชของตนเอง
ดนตรีบลูส์ (Blues)
ทุกๆวันนี้โรงเรียนแต่ละโรงต่างก็มีเพลงมาร์ชเป็นของตัวเอง พวกคนเล่นวงมาร์ชในโรงเรียนอเมริกาก็จะใส่ชุดยูนิฟอร์มเล่นดนตรี เดินขบวนกันตามโอกาสต่างๆ ---ชาวอเมริกันต่างรักการเดินขบวนและเพลงมาร์ชของตนเอง
ดนตรีบลูส์ (Blues)
ดนตรีบลูส์เกิดที่สามเหลี่ยมแม่น้ำมิสซิสซิป
ปี้ …ตั้งแต่ต้นศต.ที่ 19 …หลังจากที่พวกทาสผิวดำเป็นอิสระกันแล้ว ก็ใช่ว่าการใช้ชีวิตจะง่ายลงซะทีเดียว พวกเขายังต้องหางานทำในนิวยอร์ก…
ในภาคใต้ ชาวผิวดำมักจะทำงานในฟาร์ม สร้างเขื่อนกั้นน้ำแม่น้ำมิสซิสซิปปี้ด้วยความเหน็ดเหนื่อย…ต้องทำงานหนักทุกอาทิตย์ และก็ต้องอยู่คนเดียวด้วยความเหงา ไม่ได้อยู่กับครอบครัวต้องจากบ้านมาไกล…ในวันหยุดถึงจะได้ไปปิกนิก ไปกิน ไปดื่มกัน นักดนตรีผิวดำก็จะนำกีต้าร์ไปด้วย…ทีนี้แหละการ Entertain ก็เกิดขึ้น ==พวกเขาจะร้องเพลงกันเพื่อคลายความทุกข์ของตนหลังจากการตรากตรำทำงานหนัก เพลงที่ร้องก็จะเกี่ยวกับความเป็นกรรมกรที่ตรากตรำ นี่แหละ ดนตรีบลูส์จึงเกิดขึ้น
บลูส์ คือดนตรีที่เกิดขึ้นจากความเศร้า เพราะเราทุกข์ เราไม่มีเงิน ไม่มีงาน ไม่มีคนรัก ไม่มีบ้าน ไม่มีเพื่อน ….แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าบลูส์จะเป็นเพลงเศร้าเสมอไป เพลงบูลส์ที่ทำให้เรามีความสุข สนุกๆก็มีหลายเพลงนะจ้ะ
ในดนตรีบลูส์ จะเห็นว่า มีโน้ตบางตัวใส่ แฟลต (b) ทั้งนี้ก็เพื่อให้เสียงมันแปลก ฟังแล้วเศร้า นักร้องบลูส์ยุคแรกๆ มี Blind Lemin Jefferson, Howlin’ Wolf,Muddy Waters,Leadbelly
บางทีก็มีการประลองบูลส์กันในหมู่นักร้อง นักดนตรี พวกเขาจะใช้เทคนิค Improvization คือการคิดและใส่ลูกเล่นโน้ตขณะที่เล่นร่วมดนตรีไปด้วย ---การด้นสด….improvisation ใช้เป็นเทคนิคในการเล่น jazz ด้วย
บลูส์ ได้เกิดขึ้นในอเมริกาใต้ก็จริง แต่พอชาวผิวดำได้เข้าไปทำงานในเมืองใหญ่ๆ เขาก็นำบูลส์ไปเล่นด้วย และก็ร้องเล่นมันไปเกี่ยวกับการทำงานในเมืองใหญ่ของพวกเขา
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น