1. Parallel Organum ประกอบด้วยแนวทำนองหลัก 1 แนว (ได้จาก Plainsong ที่มีอยู่แล้ว) แนวบนเรียกว่า vox principalis กับแนวทำนองใหม่ซึ่งห่างเป็นคู่ 4 ข้างล่างแนวหลักอีก 1 แนว เรียกว่า vox organalis จากเพลง 2 แนวที่ได้มานี้ สามารถทำเป็นเพลง 3 แนวได้ โดยเพิ่มแนวที่เป็นคู่ 8 เหนือ vox organalis ก็ได้ หรือจะชึคู่ 8 ใต้ vox principalis ก็ได้ ถ้าทำทั้ง 2 วิธีจะได้เพลง 4 แนว ซึ่งเรียกว่า Composite Organum สำหรับเพลงที่กำหนดให้มีเพียง 2 แนว มักจะเริ่มต้นด้วย Unison แล้วแนวล่างจะคงที่ให้แนวบนดำเนินขึ้นไปจนถึงระยะคู่ 4 จากนั้นจึงเดินขนานกันไป เมื่อจะจบก็เคลื่อนเข้าหาขั้นคู่แคบลงและจบด้วย Unison
2. Free Organum เริ่มมีในศตวรรษที่ 11 โดยมี vox principalis เป็นแนวล่าง ส่วน vox organalisเป็นแนวบน ในด้านการดำเนินทำนองของทั้งสองแนวได้เพิ่มการดำเนินแบบเฉียง (Oblique motion) และแบบตรงข้าม(Contrary motion) ขั้นคู่ที่ใช้ นอกจากคู่ 4 แล้ว มีคู่ 5 กับคู่ 8 ใช้มากขึ้นด้วย นอกจากนี้แล้วยังมีลักษณะอีกประการหนึ่งคือ แนวทั้งสองจะดำเนินไปแบบโน้ตต่อโน้ต ซึ่งเรียกเป็นภาษาละตินว่า punctus contra punctum อันเป็นรากศัพท์ของคำว่า contrapuntal หรือ counterpoint ในเวลาต่อมา
3. Melismatic Organum เริ่มมีในศตวรรษที่ 12 โดยมีชื่ออย่างอื่นด้วย เช่น Organum กับ St.Martial Organum ใน Organum แบบนี้ plainsong ซึ่งนำมาเป็น vox principalis ในแนวล่างจะใช้โน้ตอัตรายาวขึ้น ส่วนแนวบนจะใช้อัตราสั้นๆ หลายตัวต่อโน้ตข่างล่าง 1 ตัว ทำให้ organum แบบนี้มีทำนองและจังหวะที่มีอิสระมากขึ้น Organum แบบต่างๆได้ถูกบันทึกเป็นทฤษฎีเอาไว้ และเป็นหลักฐานให้ศึกษาได้ในปัจจุบัน ทฤษฎีสำคัญได้แก่ Music Enchiriadis กับ Scholia Enchiriadis นอกจากนี้ยังมีต้นฉบับ Organum อีกหลายฉบับเช่น Winchester Organum กับต้นฉบับของโบสถ์
St.Martial เมือง Limoges ประเทศฝรั่งเศส
St.Martial เมือง Limoges ประเทศฝรั่งเศส
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น